วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การเลือกซื้อของบนโลกอินเทอร์เน็ต

คนไทยส่วนใหญ่ ตื่นเต้นที่จะได้เสื้อผ้าใหม่ๆ มาใส่ แต่ไม่รู้ว่าจะหาซื้อได้ที่ไหน แต่ท้ายที่สุดแล้ว บนโลกอินเทอร์เน็ตก็มี เสื้อผ้ามากมายหรืออุปกรณ์แฟชั่นต่างๆ ให้เราได้เลือกซื้อ ซึ่งอาจจะทำให้เราประหยัดเวลาในการไปซื้อของตามห้าง หรือ ตามท้องตลาด และยังทำให้เราได้เลือกซื้อได้หลายๆๆ ชั่วโมง โดยเราไม่ต้องเหนื่อยในการไปเดินซื้อเอง แต่อาจจะมีข้อดี และข้อเสียได้

ข้อดี
1. มีความสะดวกสบาย
2. ไม่ต้องเสียเวลาในการไปเลือกซื้้อ
3. ราคาไม่สูงมาก
4. ตามแฟชั้น
5. ได้สินค้าเร็ว

ข้อเสีย
1. มีความเสี่ยงสูง
2. สินค้าได้ไม่ตามที่ต้องการ
3. สินค้าไม่มีคุณภาพ


โมเดลการจัดการความรู้ KM คืออะไรหรอ โดย[ Hunny ]




              ค่ะ โมเดลการจัดการความรู้ คืออะไร ในความคิดฉันคงเป็นการจัดการอะไรๆ ให้เป็นระบบขั้นตอนเพื่อความเข้าใจง่ายสำหรับคนอื่นและตัวเอง ซึ่งการสร้างโมเดลการจัดการความรู้ ของแต่ละบุคคลมีอยู่หลากหลาย อาจเป็นในแบบที่ง่ายสำหรับแต่ละบุคคลนั้น โมเดลการจัดการความรู้ เกิดจากความคิดหรือไอเดียที่เราก็สามารถนำมาเป็นแบบอย่างก็ได้ ถ้าเขาอนุญาตินะค่ะ อิอิ หัดออกแบบโมเดลการจัดการความรู้  ให้ตัวเองในการทำงาน อาจทำให้เรารู้ว่าโมเดลการจัดการความรู้ คืออะไร โมเดลการจัดการความรู้ ทำให้เราทำอะไรได้มาแค่ไหน โมเดลการจัดการความรู้ อาจไม่ยากอย่างที่คิด แต่การทำ โมเดลการจัดการความรู้ อาจทำให้เรารู้อะไรมากขึ้นก็ได้




อันนี้ถูกมั้ยก็ไม่ทราบนะอิอิ   SiRiHaN

Fashion Jewelry ..!!

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
แฟชั่นจิวเวลรี่ หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Costume Jewelry แต่วันนี้จะพูดถึงเฉพาะเรื่องสร้อยคอนะจ๊ะ



       ซึ่งเป็นช่วงที่นิยมกันอย่างมาก จะเห็นได้ว่ากระแสการใส่สร้อยคอเยอะๆ นั้น เริ่มน้อยลงแล้ว ผู้ที่มีความสามารถในการเลือกของก็จะค่อนข้างได้เปรียบ เพราะสามารถซื้อแยกชิ้นมาปรับเปลี่ยนได้ตลอด สำหรับบางคนที่ไม่ค่อยจะกล้ามิกซ์แอนด์แมทซ์ ก็มีสร้อยคอสำเร็จรูปมากมายที่วางขาย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวัสดุเพชรปลอม Vintage อยู่ดี ซึ่งลักษณะก็จะเป็นเพชรเม็ดเล็กๆ ต่อกันเป็นช่วงๆ แล้วแต่แบบ ซึ่งให้ความคลาสสิกมาก ส่วน Jewelry แบบแปลกใหม่ที่ดูใหญ่ตระการตา ดูใส่ยุ่งยากนั้น จริงๆ วิธีปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ง่ายนิดเดียว...คือ ใส่กับเสื้อยืดเซอร์ๆ เน่าๆ หรือใส่กับเสื้อเชิตตัวหลวมๆ ทำให้ลุคที่ดูเรียบๆ กลายเป็นหรูหราแบบเรียบๆ ชิคและดูดีมากเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นใครที่มีสร้อยคอหรือเจอที่ไหนก็ลองหยิบมาใส่กันดู

โมเดลการจัดการความรู้ ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
โมเดลการจัดการความรู้ ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร...

1. รูปของโมเดลการจัดการความรู้ควรจะเป็นรูปที่ไม่เด็กเกินไป ไม่ซับซ้อนจนเกินไป
2. ในโมเดลการจัดการความรู้ ควรจะประกอบไปด้วยกระบวนการจัดการความรู้อย่างต่ำ 7

    กระบวนการขึ้นไป
3. ในโมเดลการจัดการความรู้ ควรจะต้องมีกระบวนการจัดการความรู้ในเรื่องของ
    "การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้"
4. โมเดลการจัดการความรู้ ควรจะวาดให้เข้าใจง่าย บ่งบอกถึงเรื่องที่จัดทำโมเดล
5. โมเดลการจัดการความรู้ ควรจะมีคำอธิบายหลังจากรูปโมเดล เพื่อที่จะเข้าใจได้มากยิ่งขึ้น

      แค่นี้ก็สามารถทำให้โมเดลการจัดการความรู้ของคุณนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง




ตัวอย่างโมเดลการจัดการความรู้






Credit BY: Oriental Princess

โมเดลการจัดการความรู้, Model, KM

Boy Band Fasion

ในยุคสมัยนี้ แฟชั่นการแต่งกาย มีต้นแบบมาจากนักร้องหรือนักแสดงหลายๆคน
จนเกิดกระแสนิยมการแต่งกายเลียนแบบนักร้องกัน
ศิลปินนักร้องส่วนมากที่เป็นต้นแบบมักจะมาจากทางประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น

ผมจึงเอาบทความเกี่ยวกับแฟชั่นมาให้เพื่อนๆได้อ่านกัน


รูปภาพจาก http://www.zheza.com/magazine/article/736

กระแสนิยม [Intrend]

กระแสนิยม
 เป็นการทำอะไรก็ตามไปตามยุคตามสมัย โดยไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อ
กระแสนิยมเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไปเพื่อเสิมสร้างการก้าวทันโกล
และที่สำคัญควรที่จะก้าวทันอย่างมีสติ และคิดไตร่ให้เหมาะสมกับตัวเองอีกด้วย

ผลที่เกิดจากการเล่นอินเตอร์เน็ต

ผลที่เกิดจากการเล่นอินเตอร์เน็ต


1. ผลการเรียนตก
2. เด็กมีความก้าวร้าว ต่อผู้ใหญ่
3. ขาดความอบอุ่น เพราะไม่ได้อยู่กับครอบครัว
4. เกิดเหตุการณ์ทะเลาะวิวาท
5. ไม่มีเวลาให้กับครอบครัว
6. ตื่นสาย เพราะนอนดึก
7. ติดเกม
8. หน้าหมองคล้ำ ไม่สดชื่่่่น
9. สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง มือเกร่ง
10. ถูกล่อลวงได้ง่าย
11. มีอาการมึนๆ เบล่อๆ
12. เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง
13. เพื่อนไม่คบ
14. เพ้อเจ่อ หลงตัวเอง
15. ระบบประสาทมีความผิดปกติ

เข้าใจเด็กไอที เสริมภูมิต้านทานภัยเทคโนโลยี


       
เข้าใจเด็กไอที เสริมภูมิต้านทานภัยเทคโนโลยี

              ปัจจุบันตามเมืองที่ความเจริญทางเทคโนโลยีเข้าถึง เด็กน้อยคนนักที่จะไม่เคยได้สัมผัสคอมพิวเตอร์หรือท่องโลกอินเตอร์เน็ต บ้างก็คุยกันมีเมล์มั้ย? แชทได้ป่าว? มี Hi5 หรือยัง? เคยเล่นเกมนี้หรือยัง? แบ่งแยก "เด็กอิน(เทรน)" กับ "เด็กเอ้าท์" ใครไม่เคยใครไม่มีก็เชยสุดๆ ซึ่งมันไม่ผิดเลยถ้าเด็กจะหันไปหาเทคโนโลยีมากขึ้นเพราะเมื่อมองรอบข้างแล้วมันก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น ทั้งมือถือ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต แล้วนี่ 3G ก็มาเยือนแล้ว แต่เมื่อมองถึงปัญหาของเด็กกับภัยเทคโลยีในขณะนี้ อะไรเล่าที่เป็นส่วนหนึ่งปัญหา เด็ก เทคโนโลยี หรืออะไรกันแน่


ตลอดปีที่ผ่านมาศูนย์เฝ้าระวังภัยเทคโนโลยี (IT WATCH) มูลนิธิกระจกเงา ได้รับแจ้งและให้คำปรึกษาอยู่หลายรายจนพบว่า ช่องโหว่หรือส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาเด็กหายทั้งในกรณีติดเกม ติดแชท นั่นก็คือ "ช่องว่างระหว่างวัยของคนในครอบครัว" เพราะในแต่ละรุ่นจะมีเรื่องพื้นฐานความคิดความอ่านไม่เหมือนกัน อีกทั้งยังอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ในครอบครัวเดี่ยวจะพบว่ามีคน 2 รุ่นอยู่ร่วมกัน อันได้แก่ รุ่นลูกและรุ่นพ่อแม่ สำหรับครอบครัวใหญ่ก็จะมีราว 4 รุ่น คือ รุ่นลูก รุ่นพ่อแม่ รุ่นลุงป้าน้าอา และรุ่นปู่ย่าตายาย


ส่วนใหญ่แล้วรุ่นที่จะมีความเข้าใจและใช้งานเทคโนโลยีได้อย่างคล่องแคล่วจะเป็นรุ่นลูก
ส่วนรุ่นของพ่อแม่ก็จะพอทราบว่ามันมีคอมพิวเตอร์มีอินเตอร์เน็ตนะ อาจจะพอทราบว่าใช้งานอย่างไรหรือนำไปสู่อะไรได้บ้างแต่ไม่เคยใช้งานเอง
ถัดมาเป็นรุ่นปู่ย่าตายายรุ่นนี้อาจจะไม่ทราบเลย แล้วช่องว่างระหว่างวัยนี้ก่อให้เกิดปัญหาได้อย่างไร
เมื่อรุ่นผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพ่อแม่ รุ่นปู่ย่าตายาย ซึ่งมีความแตกต่างเรื่องความรู้สึกนึกคิดอยู่แล้ว และไม่เข้าใจถึงพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ของเด็ก เช่น การเล่นแชท การเล่นเกม จนเกิด การดุด่าว่ากล่าวอย่างรุนแรงและการห้ามปรามโดยไม่ให้เล่นคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตอย่างเด็ดขาด บางรายถึงขั้นลงไม้ลงมือ ยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงบางรายตัดสินใจออกจากบ้าน เมื่อ "ไม่อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก" แต่สิ่งที่ทำนี้จะเปรียบเสมือน "การหักไม้"








 สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับครอบครัวไทยกับเด็กไอทีในวันนี้ คือ ความรัก ความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่ในแบบฉบับของเด็กยุคใหม่ ผู้ใหญ่ต้องพอรู้ความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่บุตรหลานเข้าถึง ทำความเข้าใจสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้น มีการปรับเปลี่ยนวิธีการให้คำแนะนำหรือตักเตือน และหมั่นทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว อาจจะต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวเข้าหากันสักพักใหญ่ แต่เชื่อได้ว่าช่องว่างระหว่างวัยของคนในครอบครัวจะเริ่มลดทอนความแตกต่าง ซึ่งในอีกทางหนึ่งสิ่งนี้ก็จะเป็นการเสริมสร้างภูมิต้านทานภัยเทคโนโลยีให้เด็กๆ ได้อีกด้วย

COP ในการจัดการความรู้ คืออะไร?


COP คืออะไรกัน?           

           COPs ย่อมาจากคำว่า Community Of Practice ก็คือ กลุ่มคนหรือบุคคล
ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน แล้วมารวมตัวกัน จัดเป็นกุล่มเพื่อที่จะมาแลกเปลี่ยน
ความรู้ซึ่งกันและกัน สามารถได้ความรู้ใหม่ๆ จากการที่ได้แลกเปลี่ยนความรู้และ
เป็นประโยชน์อย่างมากมายต่อองค์กร



COP ทำอะไรบ้างหล่ะ?     

       1. สมาชิกทุกคน เมื่อว่างก็จะมานั่งคุยกัน แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
         2. สมาชิกแต่ละคนล้วนแต่มีประสบการณ์ ไม่ว่าจากภายในหรือภายนอก
             แต่ละคนก็จะนำประสบการณ์เหล่านั้น มาแบ่งปันให้สมาชิกฟัง
         3. เมื่อในกลุ่มต่างพบเจอปัญหา สมาชิกก็จะช่วยกันในการแก้ปัญหาเหล่านั้น
         4. หลังจากที่ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันแล้ว ก็จะนำข้อมูลหรือประสบการณ์เหล่านั้น
             มาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อเผบแพร่ต่อไป 



ประโยชน์ของ COP

        1. ในการรวมตัวกันทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ ซึ่งสามารถผสมผสานกันอย่าง
               ลงตัว
          2. เกิดความสามามัคคีกันภายในกลุ่ม
          3. องค์กรสามารถนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาและต่อยอดจนสำเร็จผล



COP เกี่ยวกับ "การจัดการความรู้" อย่างไรหล่ะ?

     ถ้าพูดถึง COP ก็ต้องนึกถึงการจัดการความรู้ เพราะ COP นำกระบวนการจัดการความรู้
มาประยุกต์ใช้ อย่างเช่น
       1. การแบ่งปัน/แลกเปลี่ยนความรู้ : COP ก็ต้องนำกระบวนการนี้มาใช้
             เพื่อคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และจะได้ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้น
         2. การจัดเก็บความรู้อย่างเป็นระบบ : เมื่อสมาชิกแลกเปลี่ยนความรู้กันเสร็จสิ้น
             ก็ต้องนำความรู้ที่ได้จากการแลกเปลี่ยน นำมาบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
             เพื่อไม่ให้ข้อมูลสูญหาย
      การจัดการความรู้เป็นสิ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลายด้าน มันก็ขึ้นกับว่า
คุณจะนำ "การจัดการความรู้" ไปประยุกต์ใช้ในด้านใด




Credit BY: Oriental Princess

การจัดการความรู้รอยยิ้มของคนไทย

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
การจัดการความรู้ของรอยยิ้มคนไทย
              รอยยิ้มของคนเรานั้นนับเป็นสิ่งที่สดใสดูแล้วชั่งมีความจริงใจ อบอุ่น และสำหรับใครๆก๊มักจะอยากได้รอยยิ้มนั้นมาครอบครองรวมถึงตัวของฉันเองด้วย ทุกๆ เช้าฉันจะตื่นนอนขึ้นมาแล้วก็มองหน้ากระจกมองดู ใบหน้าของตัวเองว่าก่อนนอน และหลังตื่นนอนจะเป็นยังไงเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหน คนเราถ้าปราศจากการแต่งเติมจะเป๊นยังไงชีวิตดีด้วย... 
              รอยยิ้มชีวิตของคนเราปัจจุบันในยุติโลกไร้พรมแดน มีเรื่องที่ทำให้คนเราต้องคิดและเครียดมากมายเหลือเกินโดยเฉพาะประเทศไทยที่ กำลังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอยู่ในขณะนี้ว่ากันกันว่าถ้าใครไม่เครียด เป็นคนไม่ทันสมัยกันเชียวแหละ ซึ่งถ้าหากเครียดเล็กน้อยพอให้จิตใจได้ฝึกฝนการแก้ไขหรือเอาชนะอุปสรรค์บาง ก็เป็นการดี แต่ถ้าเผลอตัวปล่อยให้ความเครียดสะสมอยู่ในจิตใจมากๆ ย่อมไม่มีแน่นอนเพราะความเครียดจะสงผลกระทบต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานโรคลดน้อยลงและเกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาอีกมากมาย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคแผลในกระเพราะอาหาร เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย ระบบไหลเวียนโลหิตผิดปกติ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ซึ่งเกิดการเจ็บป่วยขึ้นมาก็ต้องเสียเงินในการรักษาตัว และเสียงาน ต้องลาหยุดงานบ่อยๆ 
             เอาเถอะถึงแม้ว่าสภาพสังคมแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็จะพยายามรักษาจิตใจของเรา ไว้ให้เบิกบานแจ่มใสให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และวิธีง่ายที่สุด ประหยัด หาได้ง่าย ที่จะช่วยผ่อนคลายความเครียดที่อยากจะแนะนำ คือรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเป็น ยาแก้เครียดขนาดนี้ไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหนให้เสียเงิน มันอยู่บนใบหน้าของเรานี่เอง แถมประสิทธิภาพดียอดเยี่ยมอย่างที่ใครๆ คาดไม่ถึงกัน แพทย์ที่ทำการศึกษาสรีระวิทยาของการยิ้ม พบว่า การยิ้มและเสียงหัวเราะจะมีผลดีต่อเรามาก เช่นเดียวกับการวิ่งจ๊อกกิ้งหรือการออกกำลังกายแบบแอโรบิกอื่นๆ เนื่องจากที่เรายิ้ม กล้ามเนื้อบนใบหน้าจะเคลื่อนไหวทำให้ต่อมฮอร์โมนในสมองถูกกระตุ้นให้หลั่ง สารสุขที่เรียกว่า เอนดอร์ฟีน ออกมา 
ส่วนการหัวเราะซึ่งถือได้ว่าเป็นขั้นตอนต่อไปจากการยิ้มนั้น จะช่วยให้ปอดได้รับออกซิเจนเพิ่มมากกว่าปกติ ช่วยให้มีการหายใจลึกขึ้นซึ่งเป็นผลให้การหมุนเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น ไม่ติดขัดหลอดเลือดดำขยายตัวทำให้เลือดฉีดแรงเต็มที่ นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยให้ร่างกายเกิดความอบอุ่นเพราะเป็นการช่วยส่ง ออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคให้กับระบบต่างๆ และยับยังการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติได้ด้วย
            ดังนั้น ถ้าหากใครไม่อยากป่วยด้วยโรคจิตแห่งยุคสมัยก็ลองหันมาคลายเครียดด้วยร้อย ยิ้มและเสียงหัวเราะ เพราะเมื่อไหร่ที่เรายิ้มหรือหัวเราะ โลกหรือบรรยากาศรอบตัวก็ดูสดใสเหมือนกับรอยยิ้มของเรานั่นแหละค่ะ

โทษของอินเทอร์เน็ต

โทษของอินเทอร์เน็ต       
       - โทษของอินเทอร์เน็ต มีหลากหลายลักษณะ ทั้งที่เป็นแหล่งข้อมูลที่เสียหาย, ข้อมูลไม่ดี ไม่ถูกต้อง, แหล่งประกาศซื้อขาย
ของผิดกฏหมาย, ขายบริการทางเพศ ที่รวมและกระจายของไวรัสคอมพิวเตอร์ต่างๆ 
         - อินเทอร์เน็ตเป็นระบบอิสระ ไม่มีเจ้าของ ทำให้การควบคุมกระทำได้ยาก 
         - มีข้อมูลที่มีผลเสียเผยแพร่อยู่ปริมาณมาก 
         - ไม่มีระบบจัดการข้อมูลที่ดี ทำให้การค้นหากระทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร 
         - เติบโตเร็วเกินไป 
         - ข้อมูลบางอย่างอาจไม่จริง ต้องดูให้ดีเสียก่อน อาจถูกหลอกลวง-กลั่นแกล้งจากเพื่อน 
         - ถ้าเล่นอินเทอร์เน็ตมากเกินไปอาจเสียการเรียนได้ 
         - ข้อมูลบางอย่างก็ไม่เหมาะกับเด็กๆ 
         - ขณะที่ใช้อินเทอร์เน็ต โทรศัพท์จะใช้งานไม่ได้ (นั่นจะเป็นเฉพาะการต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Dial up แต่ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะสามารถใช้งานโทรศัพท์ที่ต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วย) 
         - เป็นสถานที่ที่ใช้ติดต่อสื่อสาร เพื่อก่อเหตุร้าย เช่น การวางระเบิด หรือล่อลวงผู้อื่นไปกระทำชำเรา 
         - ทำให้เสียสุขภาพ เวลาที่ใช้อินเตอร์เนตเป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว 
 
โรคติดอินเทอร์เน็ต 
         โรคติดอินเทอร์เน็ต (Webaholic) เป็นอาการทางจิตประเภทหนึ่ง ซึ่งนักจิตวิทยาชื่อ Kimberly S Young ได้ศึกษาและวิเคราะห์ไว้ว่า บุคคลใดที่มีอาการดังต่อไปนี้ อย่างน้อย 4 ประการ เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี แสดงว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต
         - รู้สึกหมกมุ่นกับอินเทอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อเข้าระบบอินเทอร์เน็ต 
         - มีความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้นอยู่เรื่อยๆ ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตได้ 
         - รู้สึกหงุดหงิดเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตน้อยลง หรือหยุดใช้ 
         - คิดว่าเมื่อใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว ทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น 
         - ใช้อินเทอร์เน็ตในการหลีกเลี่ยงปัญหา 
         - หลอกคนในครอบครัว หรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตของตนเอง 
         - มีอาการผิดปกติเมื่อเลิกใช้อินเทอร์เน็ต เช่น หดหู่ กระวนกระวาย 
        ซึ่งอาการดังกล่าว ถ้ามีมากกว่า 4 ประการในช่วง 1 ปี จะถือว่าเป็นอาการติดอินเทอร์เน็ต ซึ่งส่งผลเสียต่อระบบร่างกาย 
ทั้งการกิน การขับถ่าย และกระทบต่อการเรียน สภาพสังคมของคนๆ นั้นต่อไป
 
อาชญากรรมคอมพิวเตอร์ 
         เทคโนโลยีที่ทันสมัย แม้จะช่วยอำนวยความสะดวกได้มากเพียงใดก็ตาม สิ่งที่ต้องยอมรับความจริงก็คือ เทคโนโลยีทุกอย่างมีจุดเด่นและข้อด้อยของตนทั้งสิ้น ทั้งที่มาจากตัวเทคโนโลยีเอง และมาจากปัญหาอื่นๆ เช่น บุคคลที่มีจุดประสงค์ร้าย 
ในโลก cyberspace อาชญากรรมคอมพิวเตอร์เป็นปัญหาหลักที่นับว่ายิ่งมีความรุนแรง เพิ่มมากขึ้น ประมาณกันว่ามีถึง 230% ในช่วงปี 2002 และแหล่งที่เป็นจุดโจมตีมากที่สุดก็คือ อินเทอร์เน็ต นับว่ารุนแรงกว่าปัญหาไวรัสคอมพิวเตอร์เสียด้วยซ้ำ 
หน่วยงานทุกหน่วยงานที่นำไอทีมาใช้งาน จึงต้องตระหนักในปัญหานี้เป็นอย่างยิ่ง จำเป็นต้องลงทุนด้านบุคลากรที่มีความ
เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย ระบบซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพ การวางแผน ติดตาม และประเมินผลที่ต้องกระทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
         
แต่ไม่ว่าจะมีการป้องกันดีเพียงใด ปัญหาการโจมตีระบบคอมพิวเตอร์ก็มีอยู่เรื่อยๆ ทั้งนี้ระบบการโจมตีที่พบบ่อยๆ ได้แก่
         - Hacker & Cracker อาชญากรที่ได้รับการยอมรับว่ามีผลกระทบต่อสังคมไอทีเป็นอย่างยิ่ง 
         - บุคลากรในองค์กร หน่วยงานใดที่ไล่พนักงานออกจากงานอาจสร้างความไม่พึงพอใจให้กับพนักงานจนมาก่อปัญหาอาชญากรรมได้เช่นกัน 
         - Buffer overflow เป็นรูปแบบการโจมตีที่ง่ายที่สุด แต่ทำอันตรายให้กับระบบได้มากที่สุด โดยอาชญากรจะอาศัย
ช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการ และขีดจำกัดของทรัพยากรระบบมาใช้ในการจู่โจม การส่งคำสั่งให้เครื่องแม่ข่ายเป็นปริมาณมากๆ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งส่งผลให้เครื่องไม่สามารถรันงานได้ตามปกติ หน่วยความจำไม่เพียงพอ จนกระทั่งเกิดการแฮงค์ของระบบ เช่นการสร้างฟอร์มรับส่งเมล์ที่ไม่ได้ป้องกัน ผู้ไม่ประสงค์อาจจะใช้ฟอร์มนั้นในการส่งข้อมูลกระหน่ำระบบได้ 
         - Backdoors นักพัฒนาเกือบทุกราย มักสร้างระบบ Backdoors เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน ซึ่งหากอาชญากรรู้เท่าทัน ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก Backdoors นั้นได้เช่นกัน 
         - CGI Script ภาษาคอมพิวเตอร์ที่นิยมมากในการพัฒนาเว็บเซอร์วิส มักเป็นช่องโหว่รุนแรงอีกทางหนึ่งได้เช่นกัน 
         - Hidden HTML การสร้างฟอร์มด้วยภาษา HTML และสร้างฟิลด์เก็บรหัสแบบ Hidden ย่อมเป็นช่องทางที่อำนวย
ความสะดวกให้กับอาชญากรได้เป็นอย่างดี โดยการเปิดดูรหัสคำสั่ง (Source Code) ก็สามารถตรวจสอบและนำมา
ใช้งานได้ทันที 
         - Failing to Update การประกาศจุดอ่อนของซอฟต์แวร์ เพื่อให้ผู้ใช้นำไปปรับปรุงเป็นทางหนึ่งที่อาชญากร นำไป
จู่โจมระบบที่ใช้ซอฟต์แวร์นั้นๆ ได้เช่นกัน เพราะกว่าที่เจ้าของเว็บไซต์ หรือระบบ จะทำการปรับปรุง (Updated) ซอตฟ์แวร์ที่มีช่องโหว่นั้น ก็สายเกินไปเสียแล้ว 
         - Illegal Browsing ธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ต ย่อมหนีไม่พ้นการส่งค่าผ่านทางบราวเซอร์ แม้กระทั่งรหัสผ่านต่างๆ ซึ่งบราวเซอร์บางรุ่น หรือรุ่นเก่าๆ ย่อมไม่มีความสามารถในการเข้ารหัส หรือป้องกันการเรียกดูข้อมูล นี่ก็เป็นอีกจุดอ่อนของธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้เช่นกัน 
         - Malicious scripts จะมีการเขียนโปรแกรมไว้ในเว็บไซต์ แล้วผู้ใช้เรียกเว็บไซต์ดูบนเครื่องของตน อย่างมั่นใจ
หรือว่าไม่เจอปัญหาอะไร อาชญากรอาจจะเขียนโปรแกรมแฝงในเอกสารเว็บ เมื่อถูกเรียก โปรแกรมนั้นจะถูกดึงไปประมวลผลฝั่งไคลน์เอ็นต์ และทำงานตามที่กำหนดไว้อย่างง่ายดาย โดยที่ผู้ใช้จะไม่ทราบว่าตนเองเป็นผู้สั่งรันโปรแกรมนั้นเอง 
         - Poison cookies ขนมหวานอิเล็กทรอนิกส์ ที่เก็บข้อมูลต่างๆ ตามแต่จะกำหนด จะถูกเรียกทำงานทันทีเมื่อมีการเรียกดูเว็บไซต์ที่บรรจุคุกกี้ชิ้นนี้ และไม่ยากอีกเช่นกันที่จะเขียนโปรแกรมแฝงอีกชิ้น ให้ส่งคุกกี้ที่บันทึกข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้ส่งกลับไปยังอาชญากร 
         - ไวรัสคอมพิวเตอร์ ภัยร้ายสำหรับหน่วยงานที่ใช้ไอทีตั้งแต่เริ่มแรก และดำรงอยู่อย่างอมตะตลอดกาล ในปี 2001 
พบว่าไวรัส Nimda ได้สร้างความเสียหายได้สูงสุด เป็นมูลค่าถึง 25,400 ล้าบบาท ในทั่วโลก ตามด้วย Code Red, Sircam, LoveBug, Melissa ตามลำดับที่ไม่หย่อนกว่ากัน 
         ปัญหาของโลกไอที มีหลากหลายมาก การทำนายผลกระทบที่มีข้อมูลอ้างอิงอย่างพอเพียง การมีทีมงานที่มีประสิทธิภาพ การวางแผน ติดตาม ประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ คงจะช่วยให้รอดพ้นปัญหานี้ได้บ้าง



การเปลี่ยนไอคอนตรง Address Bar

การเปลี่ยนไอคอนตรง Address Bar


วิธีการเปลี่ยนไอคอนตรง Address Bar

1. ขั้นตอนแรกนำรูปไปแปลงให้เป็นไฟล์ .ico ก่อนค่ะ โดยเข้าไปที่เว็บ http://www.prodraw.net/favicon/index.php แล้วทำการ Browse รูปที่ต้องการทำเป็นไอคอน Address Bar  แล้วกด Upload it



2. ทางเว็บก็จะมีให้เลือกขนาด ในที่นี้ให้เลือก 16x16 px แล้วกด Generate It
3. เมื่อ Generate เสร็จก็จะขึ้นลิ้งค์ เราก็ก็อบปี้ลิ้งค์ ตรง No Sharpen ค่ะ

4.หลังจากก็อบปี้เสร็จก็เปิดหน้าของการแก้ไขบล็อก> การออกแบบ> แก้ไข HTML

 5. ทำการค้นหาคำว่า <title><data:blog.pageTitle/></title> แล้วนำโค้ดด้านล่างนี้ไปแปะไว้หลังคำดังกล่าว

<link href='ลิ้งค์ไอคอน' rel='shortcut icon' type='image/x-icon'/>

แล้วนำลิ้งค์ไอคอนมาวางไว้ตรงตัวอักษรสีแดง แค่นี้ก็เสร็จเรียบร้อยค่ะ อย่าลืมกด บันทึกด้วยนะ



Credit BY: Oriental Princess

ประโยชน์ของการจัดการความรู้






ประโยชน์ของการจัดการความรู้

หากเรานำการจัดการความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน อาจเป็นประโยชน์
ต่อเราอย่างมาก ซึ่งประโยชน์การจัดการความรู้มีดังนี้

1. ผู้ที่นำการจัดการความรู้มาใช้ก็จะทำให้ผู้นั้นสามารถเลือกสรรแต่ความรู้
    ที่ดี ที่มีประโยชน์
2. สามารถนำความรู้ของเราไปปรับใช้ในการงาน การเรียนของเราได้อย่าง
    เป็นระบบ ระเบียบ
3. เมื่อเรามีการแลกเปลี่ยนความรู้กับบุคคลอื่น มันก็ทำให้เรานั้นสามารถได้ความรู้
    ใหม่ๆ เพิ่มเติมจากความรู้เดิม
4. เมื่อเรามีการสอบหรือวัดผล ทำให้เรานั้นสามารถรู้ได้ว่า ตัวของเรานั้น
    มีความรู้ที่เป็นระบบมากแค่ไหน
5. ความรู้ของเราอาจจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม ก็ต่อเมื่อเราได้มีการเผยแพร่
    ความรู้ตามหลักการจัดการความรู้

    เห็นไหมค่ะว่า การจัดการความรู้ สามารถทำให้เรามีความรู้ที่ถูกต้อง มีระบบ
และเป็นประโยชน์กับชีวิตประจำวันของเรา



Credit BY: Oriental Princess


โมเดลการจัดการความรู้, Model, KM

เตือนภัยไวรัสจากเพื่อนในเอ็มเอสเอ็น

ไอทีในชีวิตประจำวัน 
เรื่อง  " เตือนภัยไวรัสจากเพื่อนในเอ็มเอสเอ็น "

credit : http://t-zaa.com


เอ็มเอสเอ็น (MSN Messenger) คือโปรแกรมที่ช่วยในการสื่อสาร หรือสนทนาออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ สามารถเลือกแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทผู้พัฒนาในการนำโปรแกรมมาใช้ เป็นที่นิยมจนอาจกล่าวได้ว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทุกคนรู้จักโปรแกรมเอ็มเอสเอ็น การรู้จักใช้โปรแกรมเอ็มเอสเอ็นในทางที่ถูก สมเหตุสมผลอาจสร้างคุณประโยชน์ได้อย่างเอนกอนันต์ แต่ถ้าไม่รู้จักใช้ก็อาจเกิดโทษมหันต์ อาทิ นักศึกษาแชท(Chat)กับเพื่อนเพลินจนไม่ออกจากหอพักไปเรียนหนังสือ หรือแอบแชทระหว่างเรียนผ่านโทรศัพท์(Smart Phone)จนไม่ฟังครูสอน เจ้าหน้าที่ในบริษัทแชทเพลินจนไม่ตั้งใจทำงาน ให้เวลากับงานน้อยลง หรือมีเวลาว่างมากจนสามารถหาเพื่อนแปลกหน้าจากอินเทอร์เน็ตมาเป็นเพื่อนสนิทได้...
นโยบายของบริษัทหรือสถาบันการศึกษาบางแห่งปฏิเสธการให้บริการโปรแกรมบางประเภทแก่สมาชิกในองค์กร บางแห่งยกเลิกการให้บริการอินเทอร์เน็ตเพราะไม่เห็นความจำเป็น หรือให้บริการเฉพาะที่มีประสิทธิผลต่อองค์กร อาทิ จำกัดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นต่อองค์กร จำกัดบริการเพื่อรักษามาตรฐานความปลอดภัย หรือจำกัดการใช้ทรัพยากรเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน ตัวอย่างการปฏิเสธบริการในองค์กร เช่น ไม่บริการโปรแกรมบิททอร์เร้นท์ (Bittorent) บล็อกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม จำกัดเวลาการใช้งานของผู้ใช้บางกลุ่ม หรือจำกัดความเร็วในการรับส่งข้อมูล ถ้าไม่จำกัดอาจมีพนักงานบางท่านดาวน์โหลดภาพยนต์จากอินเทอร์เน็ตเขียนลงซีดี แล้วนำกลับไปสะสมไว้ที่บ้าน...
                            ไวรัสจากโปรแกรมเอ็มเอสเอ็นเป็นภัยเงียบที่ระบาดในองค์กรจนสร้างความเสียหายได้ง่าย เพราะในรายชื่อผู้ติดต่อ(Contact List) ที่อยู่ในโปรแกรมเอ็มเอสเอ็น ล้วนเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของบัญชี (Account Owner) หากไวรัสแอบใช้ชื่อเพื่อนสนิทส่งแฟ้มข้อมูลมาให้ ผู้รับมักดาวน์โหลด(Download)เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยความไว้วางใจ กว่าจะรู้ตัวก็ติดไวรัสตัวไปแล้ว และโปรแกรมแอนตี้ไวรัส(Antivirus Program) ก็มักไม่รู้จักไวรัสที่มาใหม่ เพื่อนสนิทที่ส่งไวรัสให้ผู้รับก็ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ทางป้องกันคืออย่าไว้ใจใคร ทางแก้ไขคือค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต และแก้ไขไปตามวิธีที่สะดวกที่สุด...
ถ้าไม่สามารถเลิกใช้โปรแกรมเอ็มเอสเอ็นก็ต้องหาวิธีป้องกัน วิธีแรกคือปรับปรุงรุ่นของโปรแกรมเอ็มเอสเอ็นไม่ให้เป็นเหยื่อของไวรัสด้วยการดาวน์โหลดและติดตั้งแทนของเดิม วิธีที่สองคือปรับรุ่นของโปรแกรมป้องกันไวรัสอยู่เสมอ วิธีที่สามคืออ่านข่าวสารข้อมูลด้านไอทีอยู่เสมอ เพราะข่าวสารเหล่านั้นจะทำให้เรารู้เท่าทันภัยคุกคามที่เปลี่ยนรูปแบบเข้ามาทำร้ายข้อมูลในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราอยู่ตลอดเวลา ถ้าถูกคุกคามไม่ว่าจากไวรัสคอมพิวเตอร์(Virus Computer) หรือสปายแวร์(Spyware) ก็ต้องหาวิธีป้องกัน หรือแก้ไขในทันทีจากคำแนะนำที่ได้จากเว็บไซต์ หาข้อมูลเพิ่มเติมที่ google.com และหวังว่าท่านจะไม่ปล่อยให้วัวหายแล้วค่อยล้อมคอก จึงแนะนำไว้ก่อนว่ากันไว้ดีกว่าแก้ เพราะแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน...

credit : http://www.thaiall.com/itinlife

การแบ่งปันการจัดการความรู้


การจัดการความรู้และการแบ่งปันความรู้ในห้องเรียน...



สร้างสรรค์โดย... นายเกรียงเดช  แซ่ตั้ง 52116940119 ตอนเรียน B1  ( สมาชิกกลุ่ม )

ประโยชน์ของโมเดลการจัดการความรู้

ประโยชน์ของโมเดลการจัดการความรู้

1. สามารถทำให้เรานั้นรู้ถึงกระบวนการต่างๆ ในการจัดการความรู้
2. โมเดลการจัดการความรู้นั้นใช้รูปในการสื่อสาร เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น
3. ที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อเรามีโมเดลการจัดการความรู้แล้ว เราก็อย่าลืม
    เขียนคำอธิบายใต้รูปวาด เพื่อให้เข้าใจรายละเอียดของโมเดลมากขึ้น
4. เหมาะสำหรับเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต เพราะโมเดลการจัดการความรู้
    ต้องประกอบไปด้วยกระบวนการการจัดการความรู้ ซึ่งมีทั้งหมด 10 ข้อ
    ดังนี้

   4.1 การกำหนดเป้าหมายความรู้
   4.2 การสร้างหรือจัดหาความรู้
   4.3 การกลั่นกรองและคัดเลือกความรู้
   4.4 การจัดเก็บความรู้ให้เป็นระบบ
   4.5 การใช้ความรู้
   4.6 การแบ่งปันและแลกเปลี่ยนความรู้
   4.7 การประยุกค์ความรู้
   4.8 การประมวลผลและวัดผลความรู้
   4.9 การยกย่องชมเชยและให้รางวัล
   4.10.การเผยแพร่ความรู้

ตัวอย่างโมเดลการจัดการความรู้ (รูปพัดลม)





Credit BY: Oriental Princess

 

โมเดลการจัดการความรู้, Model, KM

การจัดการความรู้ 10 อันดับกระแสนิยม

วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
10 อันดับ กระแสนิยม


1. กระแสนิยม นิยายเกาหลี ญี่ปุ่น
นิยายเกาหลีเป็นหนังสือนิยายประเภทหนึ่ง ที่ผู้อ่านต้องใช้จินตนาการไปพร้อมๆกับการอ่าน
อาจมีพวกลิซึ่มถึงขนาดออกท่าทาง หรือ ร้องไห้ไปกับบทนั้นๆ อาการแบบนี้เค้าเรียกว่าอิน
เพิ่งจะเป็นที่นิยมในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา หลังจากไอดอลเกาหลีบูม อะไรๆก็ดูจะบูมตามไปหมด
อยากรู้จริงกลิ่นตดคนเกาหลียังจะหอมอยู่มั้ย กลับมาที่นิยายเกาหลี มีอยู่หลายแบบหลายสไตล์
ให้เลือกชิม เย้ย! เลือกชม มีทั้งแบบกัดๆกันแล้วกลับมารัก หรือ รักร้าวของสามเรา ถ้าหากจะเปรียบ
ให้เห็นภาพก็น่าจะคล้ายกับนิยายเล่มละบาทรุ่นบุพการี แต่สมัยนี้แพงสุโค่ย เล่มนึงเท่าค่าขนม
ทั้งอาทิตย์แต่ก็อย่างว่าอะไรที่มันกำลังอินเทรนด์ เด็กไทยยอมอยู่แล้ว ซื้อไปซื้อมาเต็มบ้าน

อ่านรอบเดียวเบื่อแล้วทีนี้จะเอามันไปทำอะไร?
การ์ตูนญี่ปุ่นนั้น เป็นเนื้อเรื่องที่แสดงให้เห็นภาพประกอบ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแฟชั่น
เปิดเผย รูปการ์ตูนก็ออกมาตามนั้น เป็นการ์ตูนที่อ่านได้ง่ายจึงเป็นที่นิยม ราคาสบายกระเป๋า
จะเช่าก็มีร้านการ์ตูนบริการมากมาย

ความคิดเห็นส่วนบุคคล : โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าเป็นการดีที่เด็กไทยหันมาสนใจอ่านหนังสือกัน
มากขึ้นแม้จะเป็นการอ่านเพียงเพราะความบันเทิงเท่านั้นก็ตาม แต่หากมองในทางกลับกันจะเห็นได้ว่า
การอ่านหนังสือเป็นการรักการอ่านอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ผู้อ่านผ่อนคลาย ดีกว่าการทำกิจกรรมอันไม่เกิด
ประโยชน์เป็นไหนๆ


2. กระแสนิยมการเล่นโยคะ
โยคะ คือ อะไร?
โยคะ คือ การบริหารร่างกาย ใช้เวลาไม่มากและประหยัดเนื้อที่ คนส่วนใหญ่มักไม่ให้ความสำคัญกับ
การออกกำลังกาย โยคะจึงเป็นตัวเลือกที่สนใจ แต่พอมันเป็นกระแส บางคนเล่นเพราะต้อง
การออกกำลังกายแต่ไม่มีเวลาบางคนเล่นเพราะอยากลองเล่นดูเห็นมันดังนักดังหนา บางคนคิดหา
กำไรจากธุรกิจด้านนี้จึงเกิดเป็นโยคะร้อน น้ำหนักมันจะไม่ลงได้ยังไงก็เล่นร้อนซะขนาดนั้น
เหงื่อออกจนหมดตัวน้ำหนักไม่ลดก็บ้าแล้ว ก็ยังดีที่ธุรกิจด้านนี้ยังมีประโยชน์ต่อผู้อุปโภค แต่ถ้าถาม
ตามความเป็นจริงคุณจะเสียเวลา เสียเงินไปอีกทำไม แค่ถูบ้านที่บ้าน ได้ออกกำลังกาย ได้ทั้งเหงื่อ
ประหยัดทั้งเงิน ทั้งเวลายังจะต้องออกไปเสียเงินฟรีๆอีกทำไมกัน?

ความคิดเห็นส่วนบุคคล : หากเราจะเล่นโยคะ เพื่อสุขภาพก็เป็นการดี แต่ถ้าเรากลับมาพินิจพิจารณา
ดูอีกครั้งจะพบว่าหากเราทำงานบ้าน อาทิ เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างจาน ซักผ้า ตากผ้า รดน้ำต้นไม้
ล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมที่เคลื่อนไหวร่างกาย และเรียกเหงื่อทั้งสิ้น เมื่อรู้อย่างนี้ จะยังเสียเงินไปอีก
ทำไมกัน?

3. กระแสนิยมการเล่นไฮ5
ทำไมต้องไฮ5? นั่นสิทำไมต้องไฮ5 ทำไมไม่เป็นไฮ6 ไฮ7
เมื่อลองหาเหตุผลของคนเล่นไฮ5หลายๆคน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกรู้สึกดีกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้น
ส่วนคนที่ไม่เล่นนั้นให้เหตุผลว่า มันไร้สาระที่จะนั่งคุยกับคนไม่รู้จัก เป็นสังคมที่หลอกลวง จะนำภาพ
ใครมาเฟคก็ได้และมีคนนึงให้เหตุผลว่าเพราะเค้าใช้ PhotoShop ไม่เป็น
(ที่ตอบแบบนี้เพราะเค้าเห็นว่าคนส่วนใหญ่ต่างใช้ PhotoShop ในการแต่งรูปกันทั้งนั้น ๕๕๕.)
 แต่ถ้าเป็นเด็กศรีอาจใช้ Gimp ก็เป็นได้

ความคิดเห็นส่วนบุคคล : ไม่ว่าจะเป็น Hi5 Facebook Block Diary Myspace มีทั้งส่วนที่เหมือน ส่วนต่าง
ส่วนที่น่าสนับสนุน และส่วนที่ควรจะปรับปรุง จะขอพูดถึงไฮ5 โดยภาพรวมแล้ว ก็ไม่ได้แตกต่าง
จากโปรแกรมข้างต้นที่กล่าวมา แต่ถ้าเจาะลึกลงไป จะเป็นโปรแกรมที่เปิดกว้างมากๆ
ไม่ว่าใครก็สามารถเล่นได้ Copy ข้อมูลคนอื่นแล้ว Fake ว่าเป็นของตัวเองก็ทำได้ง่ายมากๆ
จึงเห็นได้ว่ามีคนออกมาเรียกร้องว่าโดน Copy รูปของตนไป Fake อยู่เสมอ

4.กระแสนิยมเกาหลี 
ชั่วโมงนี้ปฏิเสธกระแสเกาหลีได้อย่างไร ของเค้าแร๊ง!!!
เพลงฮิตติดหูชั่วโมงนี้ก็เกาหลี นักร้องน่าใสชั่วโมงนี้ก็เกาหลี นักแสดงนำหน้าหวานก็เกาหลี
เกาหลีเข้าเส้นเลือด เอาเป็นว่าถ้าเด็กไทยโอนสัญชาติได้ คงหมดประเทศแล้ว = =;
หนังสือสรุปวิทยาศาสตร์เล่มละ 199 เด็กไทยเมิน แต่รวมโฟโต้บุคเอสเจเล่มละ 599
มันแห่จองกันให้พรึบ ซีดีโดเรม่อน 199 น้องอยากได้ เธอหันกลับไปด่าน้องในบัดดล
แต่พอหันมาเจอลิมิเตดอิดิชั่นดงบัง เหยียบพัน ดันจ่ายสด - -*
ทำอะไรก็ทำแต่พอดี ชอบก็ซื้อไป มีกำลังก็ซื้อไป แต่ไม่ใช่ว่า ตามเก็บมันทุกอัลบั้ม
เพราะไม่เพราะไม่รู้ซื้อก่อน ซื้อมาร้องพึมพำๆ แปลก็แปลไม่ออก แล้วสรุปซื้อมาเพื่อ?

ความคิดเห็นส่วนบุคคล : ข้าพเจ้าเป็นอีก 1 คน ที่ฟังเพลงเกาหลี แต่ไม่ได้คลั่งไคล้ขนาดซื้อเก็บ
ไว้ทุกอัลบั้มแค่มีฟังบ้าง ก็เพื่อนมันเปิดอัดหูทุกวี่ทุกวัน ร้องไม่ได้ก็แย่แล้ว แม้จะต่างภาษา
แต่ความคุ้นหูมันก็สามารถข้าพเจ้าฟังเฉพาะเพลงเบาๆ หรือไม่ก็เพลงที่มีจังหวะ ไม่ฟังเพลงโหวกเหวก
มันน่ารำคาญ สรุปโดยรวม คือ แล้วแต่คนชอบจ้ะ ถ้าไม่เดือดร้อนพ่อแม่ หรือใครๆ ก็โอเค

5.กระแสนิยมการเรียนตามเพื่อน
ใจจริงอยากเรียนศิลป์-จีน แต่เพื่อนๆมันบอกสายวิทย์เหอะ ดีที่สุด แล้วเป็นยังไง เข้าไปกับมัน
ตอนชวนอ่ะ มันหาสรรพคุณเป็น 100 เป็น 1000 มาพรรณนา แต่พอไฟล์นอล คุณอยากได้ซัมบอดี้
มาช่วยคุณ แต่มันจะโนบอดี้ ๕๕๕. แต่หากจะถามถึงความเป็นจริงในปัจจุบัน เรียนสายวิทย์คณิต
มีเปอเซนต์ความได้เปรียบมากกว่าเด็กเรียนสายศิลป์หลายเท่า เพราะเมื่อคุณเรียนจบสายวิทย์คณิต
พอถึงเวลาเตรียมเข้าเรียนอุดมศึกษา คุณสามารถสอบได้แทบทุกคณะ ประมาณ 90 เปอเซนต์
ของคณะทั้งหมดเลยทีเดียว

วามคิดเห็นส่วนบุคคล : บางคนไม่เรียนตามเพื่อนแค่เลือกสายเรียนเท่านั้น
ยังลามไปถึงการเรียนกวดวิชาด้วย หากจะให้เห็นผลในการเรียนจริงๆ
ควรจะเลือกเรียนเพราะต้อง การศึกษาดีกว่าการเรียนตามเพื่อน

6.กระแสนิยมตุ๊กตาบลายธ์
ตุ๊กตาบลายธ์ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกใน ค.ศ. 1992 ที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา
แต่ออกมาได้เพียงปีเดียวก็ต้องพับโครงการผลิตลงไปจนกระทั่งเมื่อ ค.ศ. 1997 ตุ๊กตาบลายธ์กลับมา
ได้รับความนิยมอีกครั้ง ราคาถูกที่สุดอยู่ที่ราคาประมาณ 3000 - 5000 บาท
แต่ถ้าเป็นตัวที่เป็นคอลเลคชั่นของนักสะสมล่ะก็ เหยียบๆ 7 หลักเลยทีเดียว (จะแพงไปไหน?)
เศรษฐกิจขนาดนี้ แต่ตุ๊กตาบลายธ์ก็ยังคงขายได้เรื่อยๆ จากผู้ที่มีกำลังทรัพย์ และจากผู้ที่มีไม่มาก
แต่ติดกระแสนิยม ซึ่งตามจริงตุ๊กตาบลายธ์ กับ ตุ๊กตาบาร์บี้ไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่แนวโน้มอาจมา
จากผู้คนที่นิยมตุ๊กตาที่มีความใส ตากลมโต ซึ่งเจ้าตุ๊กตาบลายธ์นี้ตาโตมากแถมยังมีลูกเล่นมากมาย
แต่ถึงกระนั้นก็ยังแพงเกินราคา

ความคิดเห็นส่วนบุคคล : เป็นอีก 1 กระแสที่ข้าพเจ้าไม่เห็นถึงประโยชน์
ของมันซักเท่าไหร่ มันจะใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ากับราคาอันแสนสยองได้จริงหรือ?
คนที่เค้าซื้อไปหลายตัว เค้าซื้อไปทำอะไรกัน? ซื้อไปเล่นแต่งตัว แค่นั้นจริงๆน่ะหรือ?

7.กระแสนิยมเอะอะอะไรก็สายวิทย์
กระแสนิยมนี้เป็นกระแสนิยมที่ข้าพเจ้าเห็นว่าเข้าท่าที่สุด จริงอยู่ที่สายวิทย์เรียนหนัก
แต่จากความพยายามใน 6 ปีที่ร่ำเรียนมา เมื่อถึงเวลาเอนทรานซ์ เด็กสายวิทย์จะมีทางเลือก
มากกว่าสายอื่นๆ และเพราะเป็นเช่นนี้ นี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ใครหลายๆคนเข้า
เรียนสายนี้ก็เป็นได้

ความคิดเห็นส่วนบุคคล : เป็นกระแสนิยมที่เข้าท่าอยู่ไม่น้อยทีเดียว ไม่ใช่ต้องการให้หันมา
เรียนสายนี้กันหมด ไม่ได้อยากจะโน้มน้าวจิตใจแต่ประการใด แต่มันเห็นถึงทางเลือกอันมาก
หากเรียนจบสายนี้ต่างหาก จึงได้แนะนำ หากคุณเป็นคนค่อนข้างเรียนดี
ไม่ควรปล่อยโอกาสให้หลุดลอยนะจ้ะ

8.กระแสนิยมการ Copy
ใครว่าของ Copy จะดังแต่จีนแดง ของไทยเราก็ดังไม่น้อยหน้าใคร (น่าภูมิใจมั้ย?)
ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าเกรดเอ กระเป๋าแบรนด์เนม นาฬากายี่ห้อหรู แว่นตานำเข้า
โทรศัพท์รุ่นล่าสุด แผ่นหนังชนโรงภาพยนตร์ หรือแม้กระทั่งเพลงเต็ม เอ็มวี
ออกใหม่ๆแบบแกะกล่อง คนไทยก็สามารถ Copy ออกมาวางขายได้อย่างแนบเนียน
แถมยังรวดเร็ว และราคาถูก จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมถึงขายดี ด้วยสรรพคุณข้างต้น
จึงทำให้เป็นที่สนใจของบรรดานักซื้อมากหน้าหลายตา

ความคิดเห็นส่วนบุคคล : การ Copy แม้จะเป็นสิ่งผิดกฏหมาย แต่ราคาที่เรียกว่า แทบจะต้นทุน
ทำให้ผู้ขาย และผู้ซื้อ ต่างก็นิยมชมชอบ ปฏิเสธยากเสียเหลือเกินกับของถูกเนี่ย คนไทย
กับของถูกมันช่างเกิดมาคู่กันอย่างแท้จริง

9.กระแสนิยมอินดี้
คุณเป็นอีกหนึ่งคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นเด็กอินดี้รึเปล่า?
ถ้าใช่ ขอถามหน่อยว่าคุณรู้มั้ยว่า อินดี้ หมายถึงอะไร?
ถ้าไม่รู้จะเฉลยไว้ ณ ทีนี้ ว่าอินดี้มาจากรากศัพท์ Independent หมายถึง อิสระ
ซึ่งเพราะที่มันแปลว่าอิสระ จึงเกิดแรงบันดาลใจอีกมากมาย เช่น เพลงอินดี้ งานอินดี้
การแต่งตัวแนวอินดี้ แต่ยังไงก็ตามแต่ ก็ยังเป็นที่น่าภูมิใจที่เด็กไทยสมัยใหม่หันมาให้ความสนใจ
สร้างสรรค์กิจกรรมดีๆที่เกิดิประโยชน์กันมากขึ้น

ความคิดเห็นส่วนบุคคล : เพลงแนวอินดี้ เป็นอีกหนึ่งแนวเพลงที่ข้าพเจ้าก็นิยมชมชอบอยู่ไม่น้อย
เรื่องของดนตรีส่วนใหญ่มักมีประโยชน์นะ เพราะดนตรีไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน เว้นไอพวกตีกัน
เพื่ออวดหญิงดนตรีเป็นหนึ่งวิธีคลายเครียดของข้าพเจ้า ซึ่งมันก็ได้ผลมากเลยทีเดียว

10.กระแสนิยมจตุคาม
จตุคาม ใครได้ยินชื่อนี้คงจะร้องอ๋อไปตามๆกัน เพราะ บรรดานักเล่นพระทุกแขนงต่างมีไว้ในครอบครอง
ม่มากก็น้อยสืบเสาะจากประวัติไม่ทราบแน่ชัดถึง จตุคามองค์แรกของไทย แต่ถ้าเป็นรุ่นของจตุคาม
กลับมีมากมายให้เลือกเช่าจตุคามรุ่นที่แพงที่สุดคือรุ่นปี 30 เพราะเป็นปีที่เกิดการบูชาองค์
พ่อจตุคามรามเทพเป็นครั้งแรก

ความคิดเห็นส่วนบุคคล : หากคุณเป็นอีก 1 คนที่เช่าพระมาเพราะความศรัทธา
ข้าพเจ้าขอสนับสนุนการกระทำนั้น แต่คนที่เช่ามาเพื่อเก็งกำไรในภายภาคหน้า
อยากจะขอให้เปลี่ยนทัศนคติซะใหม่ เพราะพระมีไว้เพื่อการบูชาและยึดเหนี่ยวจิตใจ
ไม่ใช่เพื่อการเงิน

"โมเดลการจัดการความรู้" สำหรับนักศึกษา IT [KM Model For IT]

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
โมเดลการจัดการความรู้
สำหรับนักศึกษา IT

โมเดลการจัดการความรู้ ทำขึ้นก็เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการความรู้ อย่างหนึ่งที่มีกระบวนการจัดการความรู้ดังนี้

1.  การกำหนดเป้าหมาย: กำหนดว่าเราจะเลือกเรียนแขนงไหน เพื่อให้ตรงกับงาน
ที่เราจะทำในอนาคต
2.  การสร้าง/จัดหาความรู้: การสร้างความรู้ การใฝ่เรียน พยายามหาความรู้เข้าสมอง
อยู่ตลอดเวลา
3.  กลั่นกรอง/คัดเลือก: พยายามกลั่นกรองความรู้ว่าความรู้ไหนควรหรือไม่ควร
ดีหรือไม่ดี
4.  จัดเก็บความรู้: เราต้องนำความรู้ที่ได้มาจัดสรรให้สามารถเข้าใจได้ง่่ายและง่าย
ต่อการนำมาใช้  ประโยชน์อีกครั้ง
5.  การใช้งาน: เมื่อเราจัดเก็บความรู้ เราก็ต้องนำความรู้มาใช้งานบ้าง เพื่อเป็นการ
กระตุ้นสมองไปในตัว
6.  แบ่งปัน/แลกเปลี่ยนความรู้: พยายามแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนบ่อยๆ เ
ผื่อด้ความรู้ใหม่ๆเข้ามา
7.  การประยุกต์ใช้: นำความรู้ที่ได้เรียนมาปรับ ประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุด8.  ประมวลผล/วัดผลความรู้: หมั่นทดสอบความรู้ที่ตัวเองเรียนมาว่า ที่เรียนมานั้นเรา
มีความรู้จริงแค่ไหน
9.  ยกย่อง/ชมเชย: เมื่อเราประมวลความรู้ เราก็ควรจะให้รางวัลแก่ตนเอง
พื่อเป็นปลอบใจให้แก่ตนเองสู้ต่อไป
10. การเผยแพร่ความรู้: ข้อนี้สำคัญมาก เมื่เราสำเร็ตการศึกษา ควรนำความรู้ที่ได้เล่าเรียน
มาเผยแพร่ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อประเทศชาติบ้าง

โมเดลการจัดการความรู้, Model, KM

คำศัพท์น่ารู้เกี่ยวกับการจัดการความรู้

เรามาดูคำศัพท์น่ารู้ของการจัดการความรู้  



Knowledge strategy : การวางแผนกลยุทธทางด้านความรู้
Knowledge sharing : การแบ่งปันความรู้
Knowledge workers : องค์กรขับเคลื่อนด้วยคนที่มีความรู้ เกิดองค์กรแห่งการเรียนรู้ ซึ่งให้ความ
สำคัญกับ การพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ การเรียนรู้และความรู้องค์กรสมรรถนะสูงองค์กรอัจฉริยะ
Leverage of knowledge asset : ความรู้ที่สร้างขึ้นมาได้จาก SECI 

กิจกรรมการเรียนรู้ขององค์การ
Action  Learning : การเรียนรู้มากจากการปฏิบัติ
Analyzing  Mistakes : การวิเคราะห์ความผิดพลาดจากการทำงาน
Brainstorming : การระดมสมองในการทำงาน
Computer - Mediated  Communications (CMC) : การติดต่อสื่อสารผ่านทางคอมพิวเตร์
External  Consultants : การมีที่ปรึกษาภายนอกองค์การ
Learning  Contracts : ข้อตกลงระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน
Mentoring/ Coaching : การพัฒนาระบบพี่เลี้ยง 
Networking : การสร้างเครือข่ายการทำงาน
Portfolios : แฟ้มงานเพื่อการพัฒนา
Project  work : การพัฒนาการทำงานเชิงโครงสร้าง
Rotating  jobs : การหมุนเวียนการทำงาน
Team  working : การทำงานเป็นทีม